วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ครอบรอบ 50 ฮอนด้า


ครบรอบ 50 ปีกับตำนาน ฮอนด้า ซูเปอร์ คับ

i LOVE HoNDA C
Super Cub 50 th Anniversary
ครบรอบ 50 ปีกับตำนาน ฮอนด้า ซูเปอร์ คับ
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้า ซูเปอร์ คับ ยานพาหนะสองล้อรูปลักษณ์คลาสสิคคันเล็ก ๆ คันนี้เคยสร้างปรากฏการณ์ให้กับประวัติศาสตร์รถจักรยานยนต์โลกมาแล้วด้วยการเป็นรถคันแรกที่กำเนิดขึ้นในปี 1958 หรือเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ด้วยรูปร่างกะทัดรัด น่ารัก ขับขี่ง่าย ประหยัดน้ำมัน และที่สำคัญทนทานอย่างเหลือเชื่อ สิ่งเหล่านี้ ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้ทั่วโลกอย่างมากมาย ฮอนด้า ตระกูล ซูเปอร์ คับ จึงเป็นรถของมหาชนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และมียอดจำหน่ายทั่วโลกสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 50 ล้านคัน



Honda Super Cub C100
เครื่องยนต์ 4 จังหวะ 50 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศ
รถคับคันแรกเจ้าของตำนานความคลาสสิกตลอด 50 ปี ต้นแบบรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวในปัจจุบัน




Honda Super Cub 50
50 ซีซี. 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยอากาศ ระบบหัวฉีด PGM-FI
รถ ซูเปอร์ คับ ที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วโลก และยังคงมีการผลิตและจำหน่ายอย่างต่อเนื่องตลอด 50 ปี จากอดีตจนปัจจุบันใช้สะดวกกว่าเดิม ด้วยระบบหัวฉีด PGM-FI ที่สตาร์ทติดง่าย แต่ยังคงความอเนกประสงค์ ทนทาน และประหยัดน้ำมันได้เป็นอย่างดี
1958 กำเนิดรถ Honda Super Cub C100 ณ ประเทศญี่ปุ่น
1965 เริ่มนำเข้ารถจักรยานยนต์ตระกูลคับสู่ประเทศไทย
1969 เริ่มการผลิต Honda Super Cub 70 ในประเทศไทย
1986 พัฒนารูปโฉมใหม่ ในรุ่น Honda Dream
1997 เปิดตัว Honda Wave ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัย
2002 พัฒนารถตระกูล Wave ให้มีเครื่องยนต์ 125 ซีซี
2003 ริเริ่มระบบหัวฉีดใน Honda Wave125i เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
2004 ริเริ่มระบบเปิดไฟหน้าอัตโนมัติรุ่นแรกใน Honda Wave125
2005 พัฒนาระบบหัวฉีด PGM-FI สู่ยุค 2 ให้มีขนาดเล็กที่สุด และผลิตในประเทศไทย




Honda Little Cub
50 ซีซี 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยอากาศ ระบบหัวฉีด PGM-FI วงล้อขนาดเล็ก 14 นิ้ว เลี้ยวง่าย คล่องตัว เบาะสูงกำลังดีขี่สบาย ดีไซน์แนวโมดิร์นคลาสสิก สมกับเป็นรถคับแห่งยุคปัจจุบัน

ประวัติ C70


ประวัติของHonda C70


C70
C70
Honda C70 เป็นรถจักรยานยนต์ที่ทาง Honda ได้เริ่มการผลิตขึ้นในปี 1967 เป็นรถจักรยานยนต์ที่ได้ชื่อว่าเป็นรถที่ประสิทธิภาพที่ดี คุ้มค่า และยังเป็นรถขายดียอดนิยมในญี่ปุ่น ผู้ใช้ที่ได้ลองขับขี่ส่วนใหญ่จะหลงไหลกับ Honda C70 ไปโดยทันที รุ่นHonda C70 เป็นรถที่ได้รับการพัฒนาต่อมาจาก Honda C50 Super Cub จึงไม่น่าแปลกใจที่หน้าตามันจะละหม้ายคล้ายกับรถรุ่นพี่ของมัน

หลังจากพัฒนาอย่างต่อเนื่องของทางHonda นั้น Honda C70 ได้พัฒนาในเรื่องของกำลังรถให้มีสมถะนะเพิ่มมากขึ้น โดยได้ทำการเพิ่มเครื่องยนต์ที่มีความจุสูงถึง 72cc ลงไปในC70 และด้วยแรงม้ามากถึง 6.30แรงม้า ผู้ขับขี่มันสามารถที่จะขับขี่ไปบนท้องถนนที่แออัด ไปได้อยากสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ต่อมาในปี 1970 ทางHonda Japan ได้เพิ่มการลงทุนโดยออกจัดจำหน่ายส่งขายไปยังนอกประเทศญี่ปุ่น และในปี 1972 อังกฤษก็เต็มไปด้วย Honda C70 รถจักรยานยนต์คันนี้ยังเป็นยอมรับกันในผู้ขับขี่รถจักรยานต์ในทุกๆเพศทุกวัยจากทั่วโลก ตามหลังรถรุ่นพี่ Honda C50 ได้อย่างไร้ข้อกังขา

การพัฒนาที่โดดเด่นที่สร้างความแตกต่างระหว่าง C50 กับ C70 นั้นคือการที่นำเอาระบบคลัทซ์อัตโนมัติ สามสปีดเข้ามาใช้ในC70 ทำให้ทุกๆการขับขี่มันง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น แม้ในที่การจราจรติดขัด

ระบบความปลอดภัยของC70 ฮอนด้าใส่ใส่ดรัมเบรคเข้ามาในวงล้อ17นิ้ว พร้อมกับพัฒนาด้ามมือจับเบรคของรถให้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ที่ซื้อไปขับขี่เกิดความพึงพอใจที่สุด

กว่าทศวรรษที่ผ่านมา วิศวกรฮอนด้าได้ปรับปรุง C70 อย่างต่อเนื่องแต่คงไว้ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอก ต่อมาได้เพิ่ม ชุดสีต่างๆของC70 เพื่อเอาใจผู้ชื่นชอบรถจักรยานยนต์และนักสะสม

ต่อมาในปี 1982 ฮอนด้าได้เปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีด้านรถจักรยานยนต์ครั้งใหญ่อีก โดยการเปลี่ยนระบบไฟ 6V ไปเป็น 12V พร้อมกับนำเอาการระบบ CDI เข้ามาใช้ในเครื่องยนต์ ประสิทธิภาพที่ดีของเครื่องยนต์ การประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้น 

ในส่วนของบริการหลังการขาย สมัยนั้น Honda ยังได้รับคำขอบคุณจากผู้ขับขี่อยู่ตลอดเวลา ว่ามีการจัดการบริการหลังการขายที่ดี 

ในประเทศอังกฤษ Honda C70 ยังเป็นรถจักรยานยนต์ที่ ผู้ขับขี่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นรถที่ประหยัดน้ำมัน มีกำลังของเครื่องยนต์ 4จังหวะที่ดีและเสียงไม่ดังมาก การซ่อมบำรุงหรือเปลี่ยนอะไหล่ สามารถทำได้ง่ายด้วยตนเอง ซึ่งนี้หละเป็นจุดกำเนิดของC70 ของแท้ 

วิธีดูรถโฟล์คเต่า

วิธีดูรุ่นเต่า

Beetle ปี 1949

รถรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่มีระบบมอเตอร์สตาร์ แต่เดิมใช้วิธี มือหมุน แบบรถโบราณ และเพิ่มสายดึงสำหรับ เปิดกระโปรงหน้า แทนการไปกดปุ่ม ที่หน้ากระโปรงอย่างเดียว กระจกด้านหลังจะเป็นแบบ 2 จอ

Beetle ปี 1950

รุ่นนี้รูปทรงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ส่วนที่เพิ่มคือเปลี่ยน ระบบเบรค จากใช้สายเคเบิ้ลดึงเอามาเป็นระบบไฮโดรอลิค และ ในห้องโดยสารเพิ่ม ช่องเขี่ยบุหรี่ บริเวณแผงหน้าปัด แล้วที่ท่อไอดีของเครื่องยนต์ จะมีระบบหล่อให้อุ่น จากท่อไอร้อน ซึ่งเหมาะสำหรับเมืองหนาว 


Beetle ปี 1951

เพิ่มตราโล่ปราสาทแดง สัญญลักษณ์ที่บริเวณกระโปรงหน้

Beetle ปี 1952

- กะทะล้อจากขอบ 16 นิ้ว มาเป็น 15 นิ้ว
- กระจกด้านข้าง ด้านประตูหน้าทั้งสอง มีกระจกหูช้าง 3 เหลี่ยม ระบายลม
- ที่เปิดตรงกระโปรงท้าย เปลี่ยนเป็น รูปตัว T
- ช่องเก็บของบนแผงหน้าปัด มีฝาปิด (แต่เดิม เปิดโล่ง)

Beetle ปี 1953

กระจกบังลมหลัง เปลี่ยนจาก 2 จอ เป็น จอเดียว แต่ยังแคบเหมือนเดิม จึงเรียกกันว่า รุ่น จอแคบ



Beetle ปี 1954

เครื่อง จาก 1,100 cc. เพิ่มเป็น 1,200 cc.
แรงม้า จาก 35 แรงม้า มาเป็น 36 แรงม้า
รวม กุญแจสตาร์ท กับ กุญแจสวิสท์ ให้มาอยู่เป็นที่เป็นทางตัวเดียวกัน

Beetle ปี 1955

เปลี่ยนไฟเลี้ยวแบบแขนยก รุ่นติดข้างตัวรถ มาเป็น ดวงโคมเล็กๆ อยู่หน้ารถ แต่ติดตั้งไว้ต่ำใกล้กับขอบบังโคลน ล้อหน้าของรถ


Beetle ปี 1956

เพิ่มท่อไอเสียโครเมี่ยมคู่ แล้วเบาะนั่งปรับเปลี่ยนให้สะดวกขึ้น


Beetle ปี 1957

ไฟเลี้ยวเคยติดอยู่ต่ำ กระโดดขึ้นมาบนบังโคลนล้อหน้า แบบที่เห็นในปัจจุบันทำให้มองเห็นง่าย


Beetle ปี 1958

ระบบคลัชท์ปรับปรุงให้ดีขึ้น
ระบบเบรคทำดุมเบรคให้กว้างมากขึ้น


Beetle ปี 1959

เครื่องยนต์ออกแบบให้มีความคงทนมากยิ่งขึ้น โดย 100,000 กม. ไม่ต้องยกเครื่อง


Beetle ปี 1960

พวงมาลัย ทำเป็นเบ้าลึกเข้า เพื่อการจับจะได้ถนัดมากขึ้น
ที่เปิดประตู ทำเป็นปุ่มกดเปิด
ช่วงล่าง ติดเหล็กกันโคลงล้อหน้า เพื่อให้เกาะถนนดียิ่งขึ้น
ระบบบังคับเลี้ยว ตรงพวงมาลัย เพิ่มโช้คอัพ (Steering Damper) กันพวงมาลัยสั่น
ไดนาโม จาก 160 Watts เป็น 180 Watts
รุ่นสุดท้ายสำหรับเครื่องยนต์ 36 แรงม้า


Beetle ปี 1961

เครื่องยนต์เปลี่ยนจาก 36 แรงม้า มาเป็น 40 แรงม้า วิธีสังเกตเครื่องยนต์รุ่นใหม่ จะสังเกตได้ตรงแท่นรองไดนาโมชารท์ จะเป็นคนละชิ้นกับตัวเครื่อง ยึดด้วยน๊อต 4 ตัว แต่รุ่นก่อนจะเป็นตัวชิ้นเดียวกับตัวเครื่อง แต่การผลิตเครื่องยนต์รุ่นนี้ คงเป็นการเริ่มต้นมีข้อบกพร่องให้จุกจิก กวนใจมาก เช่น เรื่องวาล์ว ห้องเกียร์ไม่คงทน แต่สิ่งที่เพิ่ม ก็ คือ ปุ่มฉีดน้ำล้างกระจก เนื้อทีใส่ของกว้างมากขึ้น ระบบกุญแจสตาร์ท มีระบบล๊อคกันสตาร์ทซ้ำ แต่รวมๆ แล้วรวนมาก หากจะใช้รุ่นนี้ อาจต้องเปลี่ยนเครื่อง เปลี่ยนเกียร์ใหม่


Beetle ปี 1962

มีการแก้ไขข้อบกพร่องไปบ้าง แต่ก็ยังไม่หมดทันทีในครั้งแรก โดยเฉพาะห้องเกียร์ซิโครเมท มาแก้ตกเอาตั้งแต่หมายเลข Classis 4 500 000 จะเล่นรุ่นนี้ก็ดูหมายเลขกันให้ดี ยกเว้นเจ้าของเดิมเปลี่ยนหมดแล้ว สิ่งที่มีใหม่ในรุ่นนี้ ระบบฉีดน้ำแบบอัดลม โดยใช้ลมจากยางอะไหล่ที่วางไว้ตรงกระโปรงหน้า ระบบเฟืองเกียร์พวงมาลัยเปลี่ยนเป็นแบบ Worm and Roller ฝากระโปรงหน้าเสริมสปริง มีเกย์วัดน้ำมัน มาแทน ระบบ ถังน้ำมันอะไหล่


Beetle ปี 1963

มีการเปลี่ยนแปลงวัสดุหุ้มเบาะตอนกลางปี เป็นแบบใหม่ ทำความสะอาดง่าย กระจกหน้าตาทำได้ดี โดยรางกระจกมีไนรอนมารองรับ มีระบบไออุ่น มาจากห้องเครื่องยนต์ ตรงพัดลมต่อท่อมาหล่อห้องโดยสาร แก้ความหนาว พื้นรถมีการบุด้วยกระดาษน้ำมัน ทำให้เสียงภายในห้องโดยสารเงียบขึ้น


Beetle ปี 1964

แตรพวงมาลัย จากรูปครึ่งวงกลม มาเป็น ก้านตรง เปลี่ยนวัสดุหุ้มเบาะใหม่ ดีขึ้น สำหรับรุ่นหลังคาเปิดแบบผ้าใบ ก็ เปลี่ยนเป็นหลาคาเปิดแบบเหล็ก ไฟส่องป้ายทะเบียนหลังเปลี่ยน จาก ทรงจมูกคน เป็นแบบรีๆกว้างๆขึ้น


Beetle ปี 1965

รถตั้งแต่รุ่นนี้มีการเปลี่ยนเแปลงระบบเลข Classis ใหม่ ทำให้ดูรง่าย โดยดูจาก 3 ตัวหน้าของเลข Classis เลข 2 ตัวหน้า 11 หมายถึง รถเต่า 12 หมายถึง รถโฟลคตู้ 13 หมายถึง รถรุ่น 1500 แบบท้ายลาด ตรวจการ หรือ เต่า Super Star เลขหลักที่3 ของ 3 ตัวหน้า หมายถึงปี เช่น 115 ก็รถเต่า ปี 1965 6 ก็ 1966 7 ก็ 1967 ยัน รุ่นสุดท้าย กระจกบังลมหน้าปรับเปลี่ยนให้กว้างขึ้น ที่ปัดน้ำฝน เป็นแบบมีสปริงโค้งให้ยืดหยุ่น ปัดได้ดีกว่าเก่า ทีบังแดด ทำให้ดียิ่งขึ้นสะดวกต่อการใช้งาน ทีเปิดปิด กระโปรงหลังเป็นแบบกดปุ่ม แทนการหมุน


Beetle ปี 1966

เป็นปีแรกที่เครื่องยนต์ 1300 ซีซี มาคู่กับ 1200 ซีซี เดิม ทำให้รุ่น 1300 ซีซี มีแรงม้า เป็น 50 โดยรุ่นนี้ ช่วงชักของกระบอกสูบจะยาวกว่า เครื่องยนต์ 1200 แล้วก็ตรงลูกสูบติด ชาฟ ที่ราวลิ้น เพิ่มรุ่นนี้สามารถโมดิฟราย จาก 1300 มาเป็น 1500 หรือ 1600 ซีซี สบายมาก แค่เปลี่ยน ลูกสูบ เสื้อสูบ และไปกว้านฝาสูบ (ข้อดี ของเครื่องยนต์รถโฟลค ก็คือ ทุกครั้งที่มีการยกเครื่อง จะได้เครื่องกลับมาเป็น Standard เพราะมันเปลี่ยนทั้งเสื้อ สูบ กระบอกสูบ แหวน โดยยกขายเป็นชุด เหมือนได้ เครื่องใหม่จากห้าง ตอนออกรถใหม่ๆ แล้วราคาไม่แพง นอกจากนั้น รุ่นนี้ได้ย้ายตัว Regulator จากในห้องเครื่อง มาไว้ใต้เบาะ แถมเปลี่ยนจากระบบธรรมดามาเป็นระบบควบคุมด้วย Transistor เพิ่มไฟ Hazan แล้วก็ ปุ่มกดเปลี่ยนไฟ สูงไฟต่ำ จากเป็นปุ่มอยู่ที่พื้นด้วยเท้ามาเป็ มาอยู่ที่ก้านโยกตรงพวงมาลัย สวิสท์แตรตรงพวงมาลัย กลับไปใช้แบบของเดิม รูปครึ่งวงกลม


Beetle ปี 1967

ปีนี้เป็นการปฏิวัติระบบไฟฟ้า ใหม่ โดยเปลี่ยนจากระบบไฟฟ้า แบบ 6 โวลท์ มาเป็นระบบ 12โวลท์ ทำให้ ไฟสว่างมากยิ่งขึ้น การสตาร์ท ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งแต่เดิมเคยสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้า ให้กับผู้ใช้ โฟค ก็ คือหาแตตารี่ ขนาด6 โวลท์ แอมป์สูงๆยาก ทำให้ รถรุ่นเก่าๆ ก็ไปปรับเปลี่ยนระบบไฟฟ้าตามกันยกใหญ๋ สิ่งที่แต่ต่าง ในระบบ ไฟฟ้า 6 กับ 12 ก็คือ Fly Wheel รุ่น 6โวลท์ 109 ซี่ แต่ 12 โวลท์ 130 ซี่ ในขณะเดียวกันก็ออก เครื่องรุ่น 1500 ซีซี ขนาด 53 แรงม้ามาให้ เลือกอีกแบบ หนึ่ง แล้วก็ เปลี่ยนแปลง ระบบช่วงล่าง ของล้อหลัง ทำให้ออ่อนลงหน่อย เพื่อความนุ่มนวล แล้ว ติด คานรูปตัว Z เข้าไปทำให้รับน้ำหนักได้มากขึ้น


Beetle ปี 1968
เป็นปีแรก ที่โฟลคออก รุ่นเกียร์ออโต้เมติก มาให้เลือกอีกแบบ หนึ่ง แล้วก็ออก รุ่นประหยัด 1200 ซีซี มาให้เลือกด้วย นัย ว่าเพื่อสนองนโยบาย ลดค่าครองชีพ โดยรุ่นนี้ ตัดเอา คิ้วโคเมียม ออก ในขณะเดียวกัน รุ่น 1300 และ 1500 ยังเหมือนเดิม เฉพาะ1500 เท่านั้นที่มีระบเกียร์ออโต้ฯ กันชน รุ่นนี้เปลี่ยนใหม่ จากที่กลมโค้งมน มี2ชั้นแบบรุ่นก่อน ก็ เป็น แบบ แผ่นเหล็ก ท่อนเดียว ช่องเติมน้ำมัน ย้ายออกมาอยู่ด้าน นอก ทางขวามือ ของตัวรถ ทำให้ ไม่ต้องเปิดประโปรงหน้า เวลาเติมน้ำมัน แบบรุ่นๆก่อน มือจับเปิดประตู เปลี่ยนเป็นแบบกลไก แทนแบบกดปุ่ม มีอหมุนภายในมี พลาสติกหุ้ม


Beetle ปี 1969

ปรับปรุง เพลาหลัง จากระบบ Swing Axles (คือเพลาแบบแกว่งขึ้นลงได้) มาเป็น Double Joint Axles ทำให้ ล้อตั้งตรง กับแนวพื้น ไม่หุบ เหมือนรุ่นก่อน เมื่อยกล้อขึ้น ช่องเติมน้ำมัน มีระบบล๊อค โดยดึงห่วง จากแผงใต้หน้าปัดท์ แล้วก็ กลไกเปิดกระโปรงหน้าเปลี่ยนจาก แบบ ปุ่มดึงเป็นคันโยค ซ่อนอยู่ในช่องเก็บของ และช่องเก็บของมีระบบกุญแจ ล๊อค


Beetle ปี 1970

จุดเด่นของรุ่นนี้ก็ คือ ตรงกระโปรงปิดเครื่องยนต์หลัง ได้เจาะรูเป็นซี่ แบบครีบระบายอากาศ ทำให้ ผู้ใช้หวั่นว่า เวลาเจอฝนในเมืองไทย จะทำให้จานจ่ายชื้น มีปัญหาเวลาจอดตากฝน เพราะว่าเวลาเครื่องติด ฝนทำอะไรไม่ได้ แรงลมจากพัดลมระบายความร้อน พัดออกหมดแล้วก็ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ จาก 1500 ซีซี เป็น 1600 ซีซี ทำให้ได้แรงม้า ถึง 57 แรงม้า ไฟเลี้ยวหน้ารถ และท้ายรถขยายให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกนิด


Beetle ปี 1971

ผลิตโฟล์คออกมา 2 แบบ คือ 1302 กับ 1302 S คือ เครื่อง 1300 และ 1600 ซีซี แต่ตรงที่ 1600 ซีซี ได้แรงม้าเพิ่ม เป็น 60 แรงม้า แล้วตรงตัวเก๋งด้านท้ายใกล้หน้าต่าง จะเจาช่องระบายอากาศ รูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว สำหรับผู้โยสาร ด้านหลัง ระบบกันสะเทือนหน้าเปลี่ยนจากระบบคานบิดอันลือเลื่องมานาน มาเป็นแบบคอลย์สปริง Mcperson Strut ทำให้หน้ารถโล่งยิ่งขึ้น ขยับถังน้ำมันให้อยู่ลึกเข้าไป ทำให้รูปทรงตัวรถอูมขึ้น เหมือนคนอ้วน เมื่อเปลี่ยนระบนี้ทำให้ วงเลี้ยว แคบเข้า


Beetle ปี 1972

17 กุมภาพันธ์ 1972 สามารถผลิตและฉลองการผลิตที่ 15,007,034 Beetle และได้เปิดตัว รุ่น 1303 แบบ Super Beetle ลักษณะของรุ่นนี้ คล้ายกับ 1302 แต่ทรงจะมนและโค้งมากกว่า และความกว้างของมิติด้านข้าง จะมากกว่า


Beetle ปี 1974

้ประกาศจะหยุดการผลิตรถรุ่น Beetle ในเยอรมัน ถึงแม้ว่าการผลิตของรถ Beetle ในต่างประเทศที่ Hanover, Emden และ Brussels สำหรับการขายแถบ Europe จะดำเนินต่อไป


Beetle ปี 1975

โรงงานในเยอรมันทำการจบการผลิตสำหรับ Beetle และสิ่งที่ทดแทนรถรุ่นนี้ ต่อไปจะเรียก 1303 convertible เข้ามาทดแทน


Beetle ปี 1978

ขยายฐานการผลิตใหม่ สำหรับ รถ Beetle ไปดำเนินต่อไปที่ โรงงานใน Mexico และ Brazil รถเหล่านี้ บางคันยังถูกส่งกลับมาขายที่ Germany ในรถปีนี้ มีการเปลี่ยนแปลง โดยเพิ่มระบบทำความร้อน ในห้องโดยสารเป็นแบบ rear heater outlets ไฟหน้าเป็นแบบ halogen headlights 1986 ที่เพิ่มระบบปัดน้ำฝนมี intermittent wipers

Beetle ปี 1988

ระบบการควบคุมการจุดระเบิด จากหน้าทองขาวธรรมดาเป็นแบบมี ระบบ Electronics Ignition .เข้ามาแทน


Beetle ปี 1990

เพิ่มมาตรฐาน alarm ลงไปในระบบเตือนของเครื่องยนต์ หากมีอะไรผิดปกติ

ประวัติ รถโบราณโฟล์คเต่า


ประวัติ รถโบราณโฟล์คเต่า

รถโบราณโฟล์คเต่า มีขึ้นเมื่อ 22 มิถุนายน 1934 เมื่อคณะกรรมการสมาคมอุตสาหกรรมรถยนต์แห่งชาติเยอรมนี หรือ RDA-REICHSVERBAND DER DEUTSCHEN AUTOMOBILINDUSTRIE ได้มอบหมายให้ดร.เฟอร์ดินัน พอร์ชออกแบบรถยนต์ของประชาชน (PEOPLE’S CAR) ซึ่งในภาษาเยอรมันเรียกว่าVOLKSWAGEN นั่นเอง
โฟล์คเต่ารุ่นต้นแบบคันแรกเสร็จสิ้นการพัฒนาเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 1936 มาพร้อมระบบช่วงล่างแบบทอร์ชันบาร์ ระบบเบรกเป็นแบบกลไกก้านบังคับ ไม่ใช่ระบบไฮดรอลิกเหมือนรถยนต์ปัจจุบัน และที่เครื่องยนต์มีการติดตั้งยางแท่นเครื่อง ซี่งหลายคนมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดยางแท่นเครื่อง ตัวเครื่องยนต์เป็นแบบระบายความร้อนด้วยอากาศ มีให้เลือกทั้งแบบ 2 จังหวะ และ 4 จังหวะ ที่มีกำลังสูงสุด 22.5 แรงม้า (HP)
ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 1936 รุ่นต้นแบบหรือ V3 (ซึ่งมีการผลิตออกมา 3 คัน) ถูกนำมาทดสอบด้วยการแล่นเป็นระยะทางกว่า 50,000 กิโลเมตร ก่อนมีการทดสอบต่อเนื่องภายใต้รหัสโครงการVVW30 และหลังจากนั้นไม่นานคณะกรรมการก็เห็นชอบในเรื่องเครื่องยนต์ หลังจากถกเถียงกันอยู่นานก็มาลงตัวที่บล็อก 4 สูบนอน หรือบ็อกเซอร์ ระบายความร้อนด้วยอากาศ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการพัฒนาจะมีขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 แต่กว่าที่โฟล์คเต่า จะได้รับการผลิตเพื่อจำหน่ายสู่ตลาดต้องรอกันจนถึงเดือนธันวาคม 1945 หรือหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง โดยในเดือนนั้นมีการผลิตออกมาเพียง 55 คันเท่านั้น
ในปี 1947 จึงมีการผลิตเวอร์ชั่นส่งออกในเดือนสิงหาคม โดยบริษัท PON BROTHERS กลายเป็นผู้แทนจำหน่ายของโฟล์คสวาเกนในเนเธอร์แลนด์และนำเข้าโฟล์คเต่าจำนวน 56 คัน เข้าไปทำตลาด จากนั้นอีก 1 ปี จึงเริ่มขยายตัวออกสู่ตลาดประเทศอื่น เช่น เบลเยี่ยม เดนมาร์ก ลักเซมเบิร์ม สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปที่สหรัฐอเมริกาในวันที่ 8 มกราคม 1949
รุ่นเปิดประทุนของโฟล์คเต่าคลาสสิคมีขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคม 1949 โดยคาร์มานน์เป็นผู้รับผิดชอบในการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะในตลาดใหม่อย่างสหรัฐอเมริกา
ความจริงแล้วโครงการผลิตรุ่นเปิดประทุนของโฟล์คเต่ามีมาตั้งแต่ปี 1948 ในยุคที่มีไฮน์ริช นอร์ดฮอฟฟ์เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการโรงงานโฟล์คสวาเกน ซึ่งเขาเป็นผู้ปรับปรุงระบบการผลิต และเป็นคนที่เอ่ยประโยคอมตะ“THE BEETLE HAS AS MANY FAULT AS A DOG HAS FLEAS” ที่แสดงให้เห็นถึงรอยรั่วของระบบการผลิต ซึ่งมีมากเหมือนกับหมัด-เห็บบนตัวสุนัข
นอร์ดฮอฟฟ์ใช้เวลานานในการคิดหาทางออกเพื่อกระตุ้นให้ยอดจำหน่ายของโฟล์คเต่ามีมากขึ้นและในปี 1948เขาได้ว่าจ้าง JOSEPH HEBMULLER COMPANYผลิตรุ่นต้นแบบของโฟล์คเต่าเปิดประทุนออกมา 3 คัน โดยมีข้อบังคับว่าจะต้องใช้ชิ้นส่วนของรุ่นแฮทช์แบ็ก (หรือในเอกสารของโฟล์คสวาเกนเรียกว่า SEDAN) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
JOSEPH HEBMELLER ได้รับโอกาสในการผลิตโฟล์คเต่าเปิดประทุนในเวอร์ชั่นหรูพร้อมกับตกแต่งรายละเอียดภายในอย่างสุดบรรเจิด ซึ่งสวนกับหลักการพื้นฐานของตัวรถ ขณะที่คาร์มานได้รับงานผลิตแบบยกล็อตสำหรับคนทั่วไป ผลที่ได้คือตลอด 4 ปี ที่ทำตลาด เวอร์ชั่นเปิดประทุนของJOSEPH HEBMULLER ผลิตขายได้เพียง 696 คัน เท่านั้น
โฟล์คเต่ากลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ รถขายดีเหมือนแจกฟรี ในปี 1950 ทำยอดผลิตครบ 100,000คัน และเพิ่มเป็น 250,000 คัน ในปี 1951 ซึ่งเป็นตัวเลขของยอดการผลิตพุ่งพรวดสวนทางกับวัตถุดิบที่มีอยู่ในตลาด จนทำให้ต้องหยุดการผลิต และลดชั่วโมงทำงานลงชั่วคราว แต่ถึงกระนั้นในปี 1952ยอดผลิตต่อปีของโฟล์คเต่าก็เกิน 100,000 คันเป็นครั้งแรก และในปี 1953 ก็ฉลองครบ 5 แสน คัน โดยที่ในช่วงเวลานั้น โฟล์คเต่าครองส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์นั่งของเยอรมันตะวันตกใน(ตอนนั้น) ถึง42.5%
ในปี 1955 ตัวเลขการผลิตครบ 1ล้านคัน และในปี 1967 ฉลองการผลิตครบ 10 ล้านคัน โดยมีโรงงานผลิตทั้งหมด 5 แห่งในเยอรมนี คือ เมืองฮันโนเวอร์ คาสเซล บรันสวิค เอมเดน และล่าสุดคือโวล์ฟบวร์ก

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1972 เป็นวันที่ปวงชนชาวโฟล์คสวาเกนไม่มีวันลืม เพราะยอดการผลิตของโฟล์คเต่าอยู่ที่ 15,007,034 คัน ซึ่งเท่ากับว่าสามารถแซงหน้า สถิติเดิมของ ฟอร์ด โมเดล ทีได้สำเร็จ ทำให้โฟล์คเต่ากลายเป็นรถยนต์ที่มียอดผลิตสูงสุดในโลก (ก่อนที่จะโดนรุ่นกอล์ฟแซงในปี 2002)
จุดสิ้นสุดแห่งยุคโฟล์คเต่าสำหรับตลาดยุโรปเริ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1970 เมื่อโฟล์คสวาเกนเปิดตัวรถยนต์รุ่นกอล์ฟออกมา ซึ่งทำให้ลูกค้าในยุโรปเริ่มหันไปสนใจกับผู้มาใหม่รุ่นนี้กันมากขึ้น จนทำให้โฟล์คสวาเกนตัดสินใจยุติการผลิตของโรงงานโวล์ฟบวร์ก ในปี 1974และเอมเดนในปี 1978 โดยโฟล์คเต่าคันสุดท้ายที่ผลิตในเอมเดนเมื่อวันที่ 19 มกราคม ถูกส่งเข้าไปเก็บในพิพิธภัณฑ์เมืองโวล์ฟบวร์ก
ส่วนรุ่นเปิดประทุนคันสุดท้ายออกจากสายการผลิตของโรงงานคาร์มานน์ในออสนาบรักเมื่อวันที่ 10 มกราคม 1979 รวมแล้วรุ่นเปิดประทุนถูกผลิตออกสู่ตลาด 330,281 คัน
แม้ว่าในยุโรปจะเลิก แต่โรงงานในเม็กซิโกที่เริ่มเดินเครื่องมาตั้งแต่ปี 1965 ก็ยังทำหน้าที่ผลิตต่อไปและวันที่ 15 พฤษภาคม 1981 ฉลองการผลิตครบ 20 ล้านคันที่โรงงานแห่งนี้
อย่างไรก็ตามในวันที่ 31 กรกฎาคม 2003 ถือเป็นอีกวันที่บีทเทิลมาเนียต้องจดจำเพราะว่าจะเป็นวันสุดท้ายของการผลิตโฟล์คเต่าที่โรงงานในเมือง PUEBLA เม็กซิโก ซึ่งเป็นโรงงานแห่งเดียวที่ยังผลิตอยู่
แต่ก่อนที่จะจากกันโฟล์คสวาเกนก็ผลิตเวอร์ชันพิเศษออกมาเรียกเงินในกระเป๋าลูกค้าด้วยเวอร์ชันULTIMA EDICION กับสีตัวถัง 2 แบบ คือ เบจและฟ้า ด้วยจำนวนการผลิตจำกัดเพียง 3,000คัน เท่านั้น

รถโบราณโฟล์คเต่า

รุ่นของเวสป้าทั้งหมด


เวสป้าออกมาทั้งหมด 138 รุ่น

จนถึงปัจจุบัน
รุ่นเก่าๆ
Paperino - รุ่นแรก ผลิตในปี 1945 ที่ Biella
AMCA Troupes Aeról Portées Mle. 56 - ดัดแปลงโดยกองทัพฝรั่งเศส
VBC Super 150
VLB Sprint 150
VBB Standard 150
V9A
VNA
Vespa U - U มาจาก utilitaria (ภาษาไทย แปลว่า ประหยัด) เป็นรุ่นปี 1953 model ราคา 110 mila Lira ถูกผลิตออกมา 7000 คัน
GS 150
SS180
GS160
Standard 90 (3 spd)
Standard 50 (3 spd)
SS50 (4 spd)
SS90 (4 spd)-90 SS Super Sprint
150 GL
90 Racer
125 TS
100 Sport
125 GTR
150 Sprint Veloce
180 SS Super Sport
Rally 180
Rally 200
Primavera 125 also ET3 (3 port version)
PK 50
PK 50 XL
PK 50 Roma (Automatic)
50 S
50 Special
50 Special Elestart
50 Sprinter / 50 SR (D)
50 Special Revival
COSA 1 - 125cc, 150cc, 200cc
COSA 2 - 125cc, 150cc, 200cc
P80 / P80 E (France)
P80X/PX80 E (France)
PK 80 S / Elestart
PK 80 S Automatica / Elestart
PK100 S / Elestart
PK100 S Automatica
PK100 XL
PK125 XL / Elestart
PK 125 S
PK 125 E
PK 125 automatica (automatic tranny)
P 125 E
P200E
PX200EFL
PX200 Serie Speciale
T5 / Elestart (5 port engine 125cc P series)
T5 Classic (5 port engine 125cc P series)
T5 Millennium (5 port engine 125cc P series)
รุ่นล่าสุด
ET2 50 - 2stroke
ET4 50 - 4stroke
ET4 125 (Euro Model)
ET4 150 (US model)
รุ่นปัจจุบัน

Vespa S 50 และ 125
GT60° 250cc
LX 50
LX 125
LXV 125 (ครบรอบ 60 ปีของรุ่น LX 125)
LX 150
GT 125
GT 200
GTS 250
GTV 250 (ครบรอบ 60 ปีของรุ่น GTS 250)
PX 125
PX 150 (ผลิตใหม่ในอเมริกาและแคนาดา ในปี 2004)
PX 200
รุ่นพิเศษ

Montlhéry - ผลิตในปี 1950 เพื่อทำลายสถิติในงาน Montlhéry
Torpedo - ผลิตในปี 1951 วิ่งได้เร็วถึง 171 กม/ชม

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประวัติเวสป้า


ประวัติเวสป้า



เวสป้า (อังกฤษ:vespa)เวสป้าในภาษาอิตาลีแปลว่า ตัวต่อ ซึ่งเป็นรถมอเตอร์ไซด์สกู้ตเตอร์ เริ่มผลิตที่เมืองปอนเตเดรา ในแคว้นทัสคานี ประเทศ อิตาลี ในปี ค.ศ.1946 โดย piaggio & co,s.p.a

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง piaggio ที่เติมโตในโรงงานผลิตชิ้นส่วนของเรือ และส่วนเครื่องบิน หันมาผลิตเครื่องยนต์แบบง่ายๆ ในแบบ four-part p108 ให้กับรถเวสป้าที่โรงงาน pontedera จึงเกิดความคิดที่สร้างยานพาหนะเล็กๆไว้เดินทางขนส่งภายในโรงงาน คือ mp5 หรือโดนัลดัค ซึ่งในรุ่นนี้ทำจากซากชิ้นส่วนของเครื่องบิน มันคือscooter

รถจักรยานยนต์คันเล็กๆที่มีล้อต่ำๆช่วยต่อการขับขี่ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันและราคาไม่แพงตอนสิ้นสุดสงครามโรงงานส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะผลิตอะไรได้ถนนและรางรถไฟถูกทำลายเรือต่าง ๆ ถูกทำลาย Tuscany มีร่องรอยมากมายจากสงครามรวมทั้งโรงงานของ Piaggio ที่เมือง Pontedera”Piaggio ถูกตั้งที่ Seastri Ponente ในเมืองเจนัวประเทศอิตาลีในปี ค.ศ.1881และเจริญเติบโตจนประสบผลสำเร็จภายใต้การผลักดันของ Rinaldo Piaggio

ลูกค้าของ Enricoผู้ทำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนของเรือด้วยความตั้งใจที่จะแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมทางเทคโนโลยี Rinaldo พยายามขยายส่วนของเขาออกไปจากการผลิตส่วนประกอบเรือ เขาจึงคิดเริ่มผลิตรางรถไฟ รถไฟ ปีค.ศ.1917 เขาได้เข้าทำกิจการต่อจากคนอื่นในการทำโรงงานผลิต เรือเร็วที่ Finale Ligune and Pisa

ขณะที่มีสงครามลูกชายของเขาสองคนคือ Anmando และ Enrico ได้แบ่งกัน ทำธุรกิจ Anmando ควบคุม และจัดการ โรงงานที่ Sestri and Finale ส่วน Enricoดูแลโรงงาน Tuscan ของ Pisa และPontedera หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 เหลือแต่โรงงาน Finale Ligure และบางส่วนของ SestriGenoa เท่านั้นความคิดดั้งเดิมEnrico จึงได้ตัดสินใจที่จะหยุดการผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินที่ยาก และเป็น งานซับซ้อนหันมาผลิตเครื่องยนต์แบบง่ายในแบบ Four – Part P 108 ให้กับรถเวสป้า ที่โรงงานPontedera ซึ่งเคยผลิต radial engine (สำหรับเครื่องบิน) ซึ่งทำลายสถิติที่ทำไว้แล้ว 21 ครั้งก่อน นาย Enrico ยังเห็น ภาพการปรักหักพัง ที่เกิดขึ้นสงครามติดตาอยู่เขาเข้าใจว่าการจะแข่งขันกับ North American Company เป็นเรื่องยาก


เขาจึงคิดที่จะนำคนงาน ที่เคยเป็นหัวหน้าคนงานคนนั้นกลับมา ด้วยการที่มีเครื่องยนต์ พิเศษเหลืออยู่เพียงน้อยนิด จึงเกิดความคิดที่สร้างยานพาหนะเล็กๆ ไว้เดินทางขนส่ง และสำรวจในโรงงานคือ MP5 หรือโดนัลดัค ซึ่งในรุ่นนี้ทำจากซากชิ้นส่วนของเครื่องบิน ดังนั้นรูปร่างมันจึงมีความน่าเกียจ มากกว่าน่ารักอย่างเดียวกับที่พวกคนงานในโรงงาน เรียกเพราะมันมีรูปร่างแปลก ๆ มันคือ Scooter รถจักรยานยนต์คันเล็ก ๆ ที่มีล้อต่ำ ๆ ช่วยต่อการขับขี่ไม่สิ้นเปลืองน้ำมัน และราคาไม่แพง Enrico เห็นว่ารถจักรยานยนต์ใหม่ของเขา จะต้องทำให้คนอิตาลีหันมาขี่กันทั้ง ประเทศอิตาลีทั้งๆที่ประเทศอิตาลียังคงมีแต่ซากปรักหักพัง และน้ำมันขาดแคลน CorradinoD’Ascanioได้เป็นวิศวกรผู้ทำการออกแบบ

และในเดือนธันวาคมปีค.ศ.1945.รถเวสป้ารุ่น MP6 ก็ถูกผลิตออกมาด้วย องค์ประกอบหลายอย่างที่สะดวกสบาย มีล้ออะไหล่ซึ่งขับขี่แบบง่ายๆถ้าในเวลาขับขี่รถติดก็มีที่กำบังกันน้ำกระเด็นใส่จึงทำให้ประชาชนในประเทศอิตาลี เริ่มรู้จักรถจักรยานยนต์แบบScooter เมื่อ Enrico ได้ฟังเสียงรถ MP6 เขาร้องออกมาว่า”มันเหมือนตัวต่อ ร้องเลย”ตั้งแต่นั้นมา Enrico ก็เลยให้ชื่อเสียงเรียงนามเรียกรถนี้ว่า Vespa ซึ่งแปลว่าตัวต่อในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1946 Piaggio และ บริษัทของเขา ได้หยิบเอา ความคิดที่ดี ออกมาใช้ในการออกแบบ จากนั้นปีต่อ ๆ มาจึงผลิตรถเวสป้าในปีหนึ่งนั้น จะผลิตรถvespa ออกมาหนึ่งรุ่นถึงสองรุ่น Dott. Enrico Piaggio เกิดเมื่อ 22 ก.พ. 1905 เป็นบุตรชายของ Rinaldo Piaggio จบการศึกษาที่ Genoa ทางด้าน Economic และcommerce เข้าร่วมธุรกิจของครอบครัว ในปี 1928 ตำแหน่งผู้จัดการโรงงานPontedena ภายหลังในปี 1938 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง Enrico จึงได้รับภาระบริหารงานทั้งหมด University of Pisa มอบปริญญาเอกทางด้าน วิศวกรรมให้Enrico เขาเสียชีวิตลงในปี 1965 หลังจากผลิตรถเวสป้า ส่งขายทั่วโลกครบ 1000000 คัน


หลังสงครามโลกครั้งที่2 จบลง โรงงานของ Enrico ถูกทำลายจากาการทิ้งระเบิดของเยอรมัน ในช่วงของการฟื้นฟูเศรษฐกิจการต้องการพาหนะที่ประหยัด มีมากจึงทำให้Enrico เกิดความคิดที่จะนำชิ้นส่วนต่างๆ ในโรงงานนี้มาสร้างพาหนะนั้นนะ ที่มีคุณสมบัติระหว่าง Motorbike กับรถยนต์ในเดือนเมษายนปี 1945 Corradino D’Ascanio นักออกแบบในโครงการนี้ได้ ร่างภาพออกมาตัวถัง ทำจากเหล็ก แผ่นที่มีสันกระดูกกลางใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก 4-5 แรงม้า วางอยู่ตำแหน่งหลังเพื่อป้องกันการสกปรก ไม่เหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์ทั่วๆๆไปที่นั่งมีบังลมป้องกันเสื้อผ้าและขาและสิ่งหนึ่งที่เขาบุกเบิกคือ การเปลี่ยนเกียร์ ที่คันบังคับจากมือซ้ายและโยงไปยังเครื่อง เมื่อEnrico ได้เห็นแบบร่างในครั้งแรกเขาตั้งชื่อมันว่า Vespa


เพราะมีรูปร่างคล้ายๆๆตัวต่อ (Wasp) Classic Scooter คำว่า “scooter” ที่หมายถึงยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์นั้น มีการให้ความหมายกว้างขวางมาก หลายๆคนมองว่าscooter คือยานยนต์ที่มีล้อขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สีสรรสดใส และราคาประหยัด จุดเด่นของ scooter ก็คือเพื่อตอบสนองผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ทางช่าง scooter มีการวางจำหน่ายเป็นจำนวนมากในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2





scooter รุ่นแรกที่มีเครื่องยนต์ขนาดเพียง 98 cc ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีขนาด 125 cc ,150 cc, 200 cc. ตามลำดับปีค.ศ.1945.รถเวสป้ารุ่น MP6 ก็ถูกผลิตออกมาด้วย องค์ประกอบหลายอย่างที่สะดวกสบาย


มีล้ออะไหล่ซึ่งขับขี่แบบง่ายๆถ้าในเวลาขับขี่รถติดก็มีที่กำบังกันน้ำกระเด็นใส่จึงทำให้ประชาชนในประเทศอิตาลีเริ่มรู้จักรถจักรยานยนต์แบบ Scooter เมื่อ Enrico ได้ฟังเสียงรถ MP6 เขาร้องออกมาว่า”มันเหมือนตัวต่อ ร้องเลย”ตั้งแต่นั้นมา Enrico ก็เลยให้ชื่อเสียงเรียงนามเรียกรถนี้ว่า Vespa ซึ่งแปลว่าตัวต่อในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1946Piaggio และ บริษัทของเขา ได้หยิบเอา ความคิดที่ดี ออกมาใช้ในการออกแบบ จากนั้นปีต่อ ๆ มาจึงผลิตรถเวสป้าในปีหนึ่งนั้น จะผลิตรถ vespa ออกมาหนึ่งรุ่นถึงสองรุ่นDott. Enrico Piaggio เกิดเมื่อ 22 ก.พ. 1905 เป็นบุตรชายของ Rinaldo Piaggioจบการศึกษาที่ Genoa ทางด้าน Economic และ commerce เข้าร่วมธุรกิจของครอบครัว ในปี 1928 ตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน Pontedena

ภายหลังในปี 1938 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง Enrico จึงได้รับภาระบริหารงานทั้งหมดUniversity of Pisa มอบปริญญาเอกทางด้าน วิศวกรรมให้ Enrico เขาเสียชีวิตลงในปี 1965 หลังจากผลิตรถเวสป้า ส่งขายทั่วโลกครบ 1000000 คัน หลังสงครามโลกครั้งที่2 จบลง โรงงานของ Enrico ถูกทำลายจากาการทิ้งระเบิดของเยอรมัน ในช่วงของการฟื้นฟูเศรษฐกิจการต้องการพาหนะที่ประหยัด มีมากจึงทำให้ Enrico เกิดความคิดที่จะนำชิ้นส่วนต่างๆ ในโรงงานนี้มาสร้างพาหนะนั้นนะ ที่มีคุณสมบัติระหว่างMotorbike กับรถยนต์ในเดือนเมษายนปี 1945 Corradino D’Ascanio นักออกแบบในโครงการนี้ได้ ร่างภาพออกมาตัวถัง ทำจากเหล็ก แผ่นที่มีสันกระดูกกลางใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก 4-5 แรงม้า วางอยู่ตำแหน่งหลังเพื่อป้องกันการสกปรก


ไม่เหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์ทั่วๆๆไปที่นั่งมีบังลมป้องกันเสื้อผ้าและขาและสิ่งหนึ่งที่เขาบุกเบิกคือ การเปลี่ยนเกียร์ ที่คันบังคับจากมือซ้ายและโยงไปยังเครื่อง เมื่อ Enrico ได้เห็นแบบร่างในครั้งแรกเขาตั้งชื่อมันว่า Vespa เพราะมีรูปร่างคล้ายๆๆตัวต่อ (Wasp) Classic Scooter คำว่า “scooter” ที่หมายถึงยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์นั้น มีการให้ความหมายกว้างขวางมาก หลายๆคนมองว่า scooter คือยานยนต์ที่มีล้อขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สีสรรสดใส และราคาประหยัด จุดเด่นของ scooter ก็คือเพื่อตอบสนองผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ทางช่าง scooter

วางจำหน่ายเป็นจำนวนมากในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองจนกระทั่งเริ่มมีการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กราคาถูกออกวางจำหน่าย ความนิยมในการใช้ scooter จึงลดน้อยลงผู้ครองตลาดการจำหน่าย scooter ในช่วงปี 1950 คือ บริษัทของอิตาลี 2 แห่งคือpiaggio และ innocenti ซึ่งเป็นผู้ผลิต vespa และ lambretta ทำให้เป็นที่อิจฉาของ ผู้ประกอบการรายอื่นทั่วโลก ในขนะที่ ยอดจำหน่ายสูงสุดของ scooter จะมีอายุเพียงสองทศวรรษเท่านั้น แต่โดยภาพรวมแล้ว scooter กลับมีอายุยืนนานถึงกว่า80ปี ข้อเขียนนี้เป็นการบรรยายสรุปการผลิต scooter เริ่มตั้งแต่ช่วงปี1900 และปิดท้ายด้วยการคาดการณ์ถึงความ เป็นไปได้ในอนาคตของ scooter จุดกำเนิด scooter (scooter origins)


ส่วนบริษัทยักษ์ใหญ่ Innoncenti แห่งมิลาน ได้ทำการเปิดตัวสินค้าด้วย Lambretta M (ต่อมาใช้ชื่อใหม่เป็น Model A)ออกมาในปี 1947 Lambretta ผลิตโดยใช้ตัวถังแบบเปิด(openframe) ทรงหลอด และไม่มีระบบป้องกันสภาพอากาศที่ดีนอกจากนั้นก็ไม่มีระบบกันกระเทือนอีกด้วย

ดังนั้นจึงต้องอาศัยยางในล้อช่วยลดการกระแทก หลังจากนั้นไม่นานLambretta จึงทำการผลิตรุ่น B ออกมาแทน จากจุดนี้เอง ทั้ง Lambretta และ Vespa จึงได้ทำการแข่งขันกันอย่างหนัก เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในการตลาด อย่างไรก็ตาม Lambretta ยังยึดรูปแบบทรงหลอดอยู่ แต่ในบางครั้งก็มีการเปลี่ยนแปลงจากระบบขับเคลื่อนด้วยเพลาไปใช้ระบบโซ่ หรือบางทีก็สลับกัน ส่วนทางด้าน Vespa นั้นก็ยังยึดระบบตัวถังแบบเหล็กชิ้นเดียวครอบตัวเครื่อง และติดตั้งระบบเกียร์ไว้ใกล้ๆกับล้อหลัง

การแข่งขันของทั้งสองบริษัทนี้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆแม้กระทั่งในปัจจุบัน ผู้ใช้ scooterก็ยังแบ่งเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน ต้นทศวรรษ 1950 ทั้ง Vespa และ Lambrettaสามารถสร้างยอดจำหน่ายได้มากชนิดที่วงการรถสองล้อไม่เคยมีมาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นผลให้ผูผลิตรถจักรยานยนต์ และยานยนต์ชนิดต่างๆ เกิดการแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นผู้ผลิตบางรายจะเน้นที่รูปแบบและเครื่องยนต์ สำหรับบางรายยกเครื่อง scooter ใหม่หมด โดยการเปลี่ยนยานยนต์แบบประหยัด ให้กลายมาเป็นยานยนต์แบบเริดหรูและก้าวไกล ตลาดในขณะนั้นไม่สามารถรองรับความหลากหลาย ของสินค้าได้ทั้งหมด ทำให้สินค้าบางตัวมีอายุสั้นมาก แม้จะเป็นสินค้าชั้นยอดก็ตาม สินค้าชั้นดีหลายๆชนิดไม่ประสบผลสำเร็จทางธุระกิจเลย จุดตกต่ำของ scooter เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960 เมื่อผูบริโภคหันหลังไปนิยมใช้รถยนต์ขนาดเล็กที่มีราคาถูก เช่นFait 500 และ Fait Mini เป็นต้น ทั้งนี้เพราะป้องกันฝน และอากาศหนาวได้ดีกว่า ส่วนผู้ซื้อ scooter จะมีก็เพียงสมาชิกชมรมต่างๆที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป

ในทศวรรษ 1990 scooter ของยุโรปยังมีหลงเหลือให้เห็นได้พอสมควร ทว่าในปัจจุบันผู้ผลิตของญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอิตาลี กำลังทำการผลิต scooter รุ่นที่สามออกมา โดยมีรูปทรงและภาพพจน์ที่สะดวกสบายต่อการขนส่ง มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และเสริมสีสรรที่โฉบเฉี่ยวเพื่อดึงดูดลูกค้าวัยรุ่นฐานะ